เทศกาลกินเจ
เป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาช้านานของชาวจีน โดยจะกำหนดเอาวันตามจันทรคติ คือ
เริ่มตั้งแต่ วันขึ้น 1 ค่ำ ถึงวันขึ้น 9 ค่ำ ตามปฏิทินจีนของทุกๆ ปี รวม 9 วัน 9 คืน ผู้คนส่วนหนึ่งจะไม่กินเนื้อสัตว์ ทำให้ได้ช่วยชีวิตสัตว์ไว้ได้ส่วนหนึ่ง
เนื่องจากมีการฆ่าสัตว์น้อยลง ผู้คนที่ศรัทธาในพุทธศาสนาจะพากันสละกิจโลกียวัตร และ พากันเข้าวัดวาอารามบำเพ็ญศีลสมาทาน กินเจ คือ บริโภคแต่อาหารจำพวกพืชผัก และ
ผลไม้เป็นหลัก ละเว้นไม่กระทำกิจใด ๆ
อันนำมาซึ่งการเบียดเบียนเดือดร้อนให้เกิดแก่สัตว์โลก คือการไม่เอา ชีวิต เลือด เนื้อของสัตว์โลกให้มาเป็นของเรา
พากันซักฟอกมลทินออกจากร่างกาย วาจา และ ใจ สวมเสื้อผ้าขาวสะอาด เข้าวัดเข้าวา
พร้อมด้วยดอกไม้ธูปเทียน ทำบุญทำทานแก่สัตว์โลกผู้ยากไร้
ถือศีลกิจเจเป็นเวลา 9 วัน
ผู้ถือศีลกินเจ จะมีการชำระกระเพาะให้สะอาดก่อน โดยการกินเจในมื้อเย็นก่อนวันจริง
1 มื้อ และ มื้อเช้าหลังวันที่เก้าขึ้น
9 ค่ำอีก 1 มื้อเป็นการลา
ซึ่งจะเป็นวันส่งเจ้า ในช่วง
9 วันนี้ ทุกวันคี่
จะถือเป็นวันเจใหญ่ พุทธบริษัทจะไปทำบุญ และ
กินเจที่ศาสนสถาน นอกนั้นจะถือศีลกินเจที่บ้านเทศกาลกินเจ
มาจากคำบอกเล่าที่เล่าต่อ ๆ กันมาเป็นเชิงปรำปรา
และ มาจากคำสอน ความเชื่อทางศาสนาพุทธ ฝ่ายนิกายมหายาน เป็นกุศโลบายให้คนทำความดี
เหมือนเช่นเรื่องอื่นๆ แต่คนรุ่นหลังได้มีการเพิ่มเติมเสริมแต่งพิธีการ
เพื่อให้เกิดความขลัง ให้มีความน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น
จึงทำให้กลายเป็นพิธีการที่ต้องใช้เงินใช้ทองมากมายในการประกอบพิธีให้ครบถ้วน
ตำนานที่มาของการกินเจ
มีเรื่องเล่าอยู่ถึง 7 เรื่องได้แก่
ตำนานที่ 1 รำลึกถึงวีรชนทั้ง
9
เทศกาลกินเจเริ่มขึ้นเมื่อ 400 กว่าปีที่แล้ว
โดยชาวจีนกินเจเป็นการบำเพ็ญกุศลเพื่อรำลึกถึงวีรชน 9 คน
ซึ่งเรียกว่า "หงี่หั่วท้วง"
ซึ่งได้ต่อสู้กับชาวแมนจูผู้รุกรานอย่างกล้าหาญ ถึงแม้จะแพ้และต้องตายก็ตาม
ดังนั้นเมื่อถึงวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 9 ชาวจีนที่ยังคงอยู่ภายใต้การปกครองของชาวแมนจู
จึงพากันนุ่งขาวห่มขาว ถือศีลกินเจ เพื่อรำลึกถึงเหล่านักสู้
"หงี่หั่วท้วง" ที่ได้ต่อสู้พลีชีพในครั้งนั้น
เพราะเชื่อว่าการปฏิบัติเช่นนี้จะช่วยชำระจิตวิญญาณเกิดความเข้มแข็งทางร่าง
กายและจิตใจ
ตำนานที่ 2 บูชาพระพุทธเจ้า
เชื่อว่า เป็นการประกอบพิธีกรรมเพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล
7 พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์
รวมเป็น 9 พระองค์ด้วยกัน หรืออีกนัยหนึ่งเรียกว่า
"ดาวนพเคราะห์" ทั้ง 9 ได้แก่ พระอาทิตย์
พระจันทร์ พระอังคาร พระพุธ พระพฤหัสบดี พระศุกร์ พระเสาร์ พระราหู และพระเกตุ
ในพิธีกรรมบูชานี้ สาธุชนในพระพุทธศาสนาจะสละเวลาทางโลกมาบำเพ็ญศีล
งดเว้นเนื้อสัตว์ และแต่งกายด้วยชุดขาว
ตำนานที่ 3 เก้าอ๊องฝ่ายมหายาน
กล่าวไว้ว่า
การกินเจเป็นพิธีปฏิบัติที่สืบต่อกันมาของชาวจีนในประเทศไทย
เพื่อสักการบูชาพระพุทธเจ้าในอดีตกาล 7 พระองค์ ดังมีในพระสูตร
ปั๊กเต๊าโก๋ว ฮุดเชียวไจเอียงชั่วเมียวเกง กล่าวไว้คือ พระวิชัยโลกมนจรพุทธะ
พระศรีรัตนโลกประภาโมษอิศวรพุทธะ พระเวปุลลรัตนโลกวรรณสิทธิพุทธะ
พระอโศกโลกวิชัยมงคลพุทธะ พระวิสุทธิอาศรมโลกเวปุลลปรัชญาวิภาคพุทธะ
พระธรรมมติธรรมสาครจรโลกมโนพุทธะ พระเวปุลลจันทรโภคไภสัชชไวฑูรย์พุทธะ
และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2 พระองค์
คือพระศรีสุขโลกปัทมอรรถอลังการโพธิสัตว์และพระศรีเวปุลกสังสารโลกสุขอิศวร
โพธิสัตว์ รวมเป็น 9 พระองค์ (หรือ "เก้าอ๊อง")
โดยกล่าวกันไว้ว่า
พระพุทธเจ้าในอดีตกาล 7 พระองค์ และพระมหาโพธิสัตว์อีก 2
พระองค์รวมเป็น 9 พระองค์หรือ “เก้าอ๊อง” ซึ่งได้ทรงตั้ง ปณิธานจักโปรดสัตว์โลก
จึงได้แบ่งกายมาเป็นเทพเจ้า 9 พระองค์ด้วยกันคือไต้อวยเอี๊ยงเม้งทัมหลังไทแชกุน
ไต้เจียกอิมเจ็งกื้อมึ้งงวนแชกุน ไต้กวนจิงหยิ้งลุกช้งเจงแชกุน
ไต้ฮั่งเฮี่ยงเม้งม่งเคียกนิวแชกุน ไต้ปิ๊กตังง้วนเนี้ยบเจงกังแชกุน
ไต้โพ้วปั๊กเก๊กบู๊เอียกกี่แชกุน ไต้เพียวเทียนกวนพัวกุงกวนแชกุน
ไต้ตั่งเม้งงั่วคูแชกุน ฮุ้ยกวงไตเพียกแชกุน เทพเจ้าทั้ง 9 พระองค์
ทรงอำนาจตบะอันเรืองฤทธิ์บริหารธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และทอง
ทั่วทุกพิภพน้อยใหญ่สารทิศ
ตำนานที่ 4 พิธีบูชาเพื่อระลึกถึงราชวงศ์ซ้อง
เชื่อว่าการกินเจกินเจเป็นการบูชากษัตริย์เป๊ง
กษัตริย์องค์สุดท้ายของราชวงศ์ซ้องซึ่งสิ้นพระชนม์โดยทรงทำอัตวินิบาตกรรม
(การฆ่าตัวตาย) ในขณะที่เสด็จไต้หวันโดยทางเรือ เมื่อมีพระชนนมายุได้ 9 พรรษา พิธีบูชาเพื่อระลึกถึงราชวงศ์ซ้องนี้ มีแต่เฉพาะในมณฑลฮกเกี้ยนซึ่ง
เป็นดินแดนผืนสุดท้ายของราชวงศ์ซ้องเท่านั้น
โดยชาวฮกเกี้ยนได้จัดทำพิธีดังกล่าวนี้ขึ้นด้วยการอาศัยศาสนาบังหน้าการ เมือง
ประเพณีนี้เข้ามาสู่เมืองไทยโดยชาวจีนแต้จิ๋วที่อพยพจากฮกเกี้ยนนำมาเผยแผ่
อีกทอดหนึ่ง
ตำนานที่ 5 เล่าเอี๋ย
เมื่อ 1,500 ปีก่อน ณ
มณฑลกังไสซึ่งเป็นแดนแห่งความเจริญรุ่งเรือง ฮ่องเต้เมืองนี้มีพระราชโอรส 9
พระองค์ซึ่งเก่งทั้งบุ๋น บู๊ ทำให้หัวเมืองต่างๆ ยอมสวามิภักดิ์
ยกเว้นแคว้นก่งเลี้ยดที่มีอำนาจเข้มแข็ง และมีกองกำลังทหารที่เหนือกว่า
ทั้งสองแคว้นทำศึกกันมาถึงครั้งที่ 4 แคว้นก่งเลี้ยดชนะโดยการทุ่มกองกำลังทหารที่มากกว่าหลายเท่าตัว
โอบล้อมกองทัพพระราชโอรสทั้งเก้าไว้ทุกด้าน
แต่กองทัพก่งเลี้ยดไม่สามารถบุกเข้าเมืองได้จึงถอยทัพกลับ
จนวันหนึ่งชาวกังไสเกิดความแตกสามัคคีและเอาเปรียบกัน เทพยดาทราบว่า
อีกไม่นานกังไสจะเกิดภัยพิบัติจึงหาผู้อาสาช่วย
แต่ชาวบ้านจะพ้นภัยได้ก็ต่อเมื่อได้สร้างผลบุญของตนเอง
ดวงวิญญาณพระราชโอรสองค์โตรับอาสา และเพ่งญาณเห็นว่า
ควรเริ่มที่บ้านเศรษฐีใจบุญลีฮั้วก่าย คืนวันหนึ่งคนรับใช้แจ้งเศรษฐีลีฮั้วก่ายว่า
มีขอทานโรคเรื้อนมาขอพบ เศรษฐีจึงมอบเงินจำนวนหนึ่งให้เป็นค่าเดินทาง
แต่ขอทานไม่ไป และประกาศให้ชาวเมืองถือศีลกินเจเป็นเวลา 9 วัน
9 คืน ผู้ใดทำตามภัยพิบัติจะหายไป เศรษฐีนำมาปฏิบัติก่อน
และผู้อื่นจึงปฏิบัติตาม จนมีการจัดให้มีอุปรากรเป็นมหรสพในช่วงกินเจด้วย
เล่าเอี๋ยเกิดศรัทธาประเพณีกินเจของมณฑลกังไส จึงได้ศึกษาตำราการกินเจของ
เศรษฐีลีฮั้วก่ายที่บันทึกไว้
แต่ได้ดัดแปลงพิธีกรรมบางอย่างให้รัดกุมยิ่งขึ้นและให้มีพิธียกอ๋องฮ่องเต้
(พิธีเชิญพระอิศวรมาเป็นประธานในการกินเจ)
ตำนานที่ 6 เล่าเซ็ง
มีชายขี้เมาคนหนึ่งชื่อ เล่าเซ็ง เข้าใจผิดว่า แม่ตนตายไปเพราะเป็นโรคขาดสารอาหาร
จนคืนหนึ่งแม่มาเข้าฝันว่า ตนตายไปได้รับความสุขมาก เพราะแม่กินแต่อาหารเจ
และหากลูกต้องการพบให้ไปที่เขาโพถ้อซัว บนเกาะน่ำไฮ้
ครั้นถึงเทศกาลไหว้พระโพธิสัตว์กวนอิมที่เขาโพถ้อซัว
เล่าเซ็งจึงขอตามเพื่อนบ้านไปไหว้พระโพธิสัตว์ด้วย โดยเพื่อนบ้านให้เล่าเซ็งสัญญาว่า
จะไม่กินเหล้าและเนื้อสัตว์จึงยอมให้ไป แต่ระหว่างทางเล่าเซ็งผิดสัญญา
เพื่อนบ้านจึงหนีไป โชคดีที่มีหญิงสาวคนหนึ่งต้องการไปไหว้พระโพธิสัตว์เช่นกัน
เขาจึงขอตามนางไปด้วย เมื่อถึงเขาโพถ้อซัว
ขณะที่เล่าเซ็งก้มลงกราบพระโพธิสัตว์อยู่นั้น เขาเห็นแม่ลอยอยู่เหนือกระถางธูป
แต่คนอื่นมองไม่เห็น ขณะเขาเดินทางกลับ ได้เจอกับเด็กชายยืนร้องไห้อยู่
จึงเข้าไปถามไถ่จนทราบว่า
เด็กคนนั้นเป็นลูกชายของเขากับภรรยาเก่าที่เลิกกันไปนานแล้ว เขาจึงพาไปอยู่ด้วย
และต่อมาหญิงสาวที่นำทางเล่าเซ็งไปพบพระโพธิสัตว์ได้มาขออยู่ด้วย
ทั้งสามอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข หญิงสาวคนนั้นเป็นสาวบริสุทธิ์ มีความประพฤติดี
อยู่ในศีลธรรม และถือศีลกินเจอยู่เป็นประจำ นางรู้ว่าใกล้ถึงวันตายของนางแล้ว
จึงบอกเล่าเซ็ง เมื่อถึงวันนั้นนางแต่งตัวด้วยอาภาณ์ขาวสะอาด
นั่งสักครู่แล้วก็สิ้นลม เล่าเซ็งเห็นการจากไปด้วยดีของนางคล้ายกับแม่
จึงเกิดศรัทธา ยกสมบัติให้ลูกชาย แล้วประพฤติตัวใหม่
เมื่อตายไปจะได้บังเกิดผลเช่นเดียวกับแม่ และหญิงสาว
ประเพณีกินเจจึงเริ่มขึ้นตั้งแต่นั้น
ตำนานที่ 7 การกินเจที่ภูเก็ต
มีคณะงิ้วจากเมืองจีน มาเปิดการแสดงที่อำเภอกระทู้นานเป็นแรมปี
บังเอิญช่วงนั้นเกิดโรคระบาดขึ้น คณะงิ้วจึงจัดให้มีพิธีกินเจ
และสร้างศาลเจ้าขึ้นเพื่อสะเดาะเคราะห์ หลังจากนั้นโรคระบาดก็หาย
ชาวกะทู้เกิดความศรัทธาจึงปฏิบัติตาม หลังจากประกอบพิธีอยู่ประมาณ 2-3 ปี ก็มีผู้คนเลื่อมใสมากขึ้นเรื่อยๆ
ประกอบกับอยากได้พิธีกินเจที่สมบูรณ์แบบตามประเพณีมณฑลกังไส ประเทศจีน
จึงได้ส่งตัวแทนไปนำควันธูป (เหี่ยวเอี้ยน) จากกังไสให้ลอยมาถึงภูเก็ต
โดยในการเดินทางกลับจะต้องคอยจุดธูปต่อกันมิให้ดับมอด
ศาลเจ้ากะทู้จึงได้ชื่อว่าเป็นต้นตำรับของพิธีกินเจในปัจจุบัน หากจะถือตามนิยายปรำปราอิงประวัติศาสตร์ในปลายราชวงศ์ซ้อง ซึ่ง
บันทึกไว้ในหนังสือ “ประวัติวัฒนธรรมจีน” เรียบเรียงโดย ล.เสถียรสุต
เล่าไว้ว่า กษัตริย์องค์สุดท้ายมีพระชนม์ชีพเพียง
9 พรรษา เสด็จหนีพวกมงโกลไปยังเกาะไต้หวัน แต่ได้สิ้นพระชนม์ชีพที่กลางทะเลนั่นเอง ข้าราชบริพาร พากันแต่งกายไว้ทุกข์
และ จัดพิธีทางศาสนาพุทธเป็นการอำพราง แต่สิ่งของต่าง
ๆ ในพิธีเป็นสีเหลืองซึ่งเป็นสีที่กษัตริย์จีนใช้
และ ในพิธียังใช้ราชาศัพท์ ชาวจีนแต้จิ๋วที่เดินทางมาจากฮกเกี้ยนที่ซึ่งกษัตริย์องค์สุดท้ายในราชวงศ์ซ้องเหยียบแผ่นดินเป็นแห่งสุดท้าย
ได้นำพิธีดังกล่าวมาประเทศไทยด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น